วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สตรีจะไม่แต่งงานกับสตรี

โทษของผู้ที่ทิ้งละหมาด ใครก็ตามที่ละทิ้งละหมาดโดยเจตนา เขาจะถูกสาปแช่ง ในคัมภีร์เตารอต อิลญีล อัล กุรอาน และเซาบูร เมื่อใดก็ตามที่ผู้ทิ้งละหมาดยกอาหารคำนึงเข้าปาก อาหารคำนั้นจะสาปแช่ง “โอ้ศัตรูของอัลเลาะห์ เจ้ากินริสกีของอัลเลาะห์ แต่เจ้าไม่ปฏิบัติฟัรดูของอัลเลาะห์ที่มา : message2muslim.blogspot.com









สูตรลับ COCA-COLA ในหนังสือพิมพ์เก่า
มีส่วนประกอบแอลกอฮอล์ อยู่ 8 ออนซ์
หยุดดื่มได้แล้วมุอ์มิน(ผู้ศรัทธา)..... —





อัลลอฮ์ตาอาลาตรัสว่า “และท่านทั้งหลายจงแต่งงานคนโสดของพวท่าน❶และบรรดาผู้มีคุณธรรม จากทาสชายของพวกท่าน และ ทาสหญิงของพวกท่าน แม้พวกเขายากจน อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาร่ำรวยจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงไพศาลยิ่งทรงรอบรู้ยิ่ง”

1. คนโสดในที่นี้คือ คนที่ไม่มีคู่ครอง ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งที่เคยแต่งงานแล้ว และยังไม่เคยแต่งงาน ตามตัวบทของอายะห์นี้ก็คือ ผู้ปกครองจะต้องจับผู้ที่อยู่ใต้ปกครองของเขาแต่งงาน และตัวเขาเองก็จะต้องแต่งงาน เมื่อโอกาสอำนวยใจชอบและกลัวจะละเมิดประเวณี นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการบางคน แต่นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า ‘ คำสั่งในที่นี้หมายถึง ควรกระทำเท่านั้น เพราะอัลลอฮ์ตาอาลาทรงตรัสว่า ‘ หรือทาสที่มือขวาของพวกท่านปกครองอยู่ อัลลอฮ์ได้ให้เลือกระหว่างการแต่งงาน กับ การมีนางบำเรอเป็นทาสหญิง ถ้าหากการแต่งงานเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้ว พระองค์ก็คงไม่เปิดโอกาสให้เลือกระหว่าง
การแต่งงานกับการมีนางบำเรออย่างแน่นอน

จาก อะบีฮุรอยเราะฮ์ แท้จริงสิทธิหน้าที่บางอย่างของผู้ให้กำเนิดพึงมีแก่ผู้ถูกกำเนิด คือ เขาต้องสอนให้รู้การเขียน, ตั้งชื่อที่ดี,และจัดการแต่งงาน เมื่อผู้ถูกกำเนิดบรรลุนิติภาวะแล้ว
โดย อิบนุนนัจยารด์


"..... ดังนั้นจงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้เป็นนายของพวกนาง และจงให้แก่พวกนางซึ่งสินตอบแทนของพวกนาง(อุญูเราะฮุนนะ)โดยคุณธรรม ....“ (4:25)    

“ดังนั้น อย่าได้ขัดขวางพวกเธอ ในการที่พวกเธอ จะแต่งกับบรรดาคู่ครองของพวกเธอ เมื่อพวกเขาต่างพอใจกัน ระหว่างพวกเขา ด้วยความชอบธรรม” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 2:232)



24. ซูเราะฮฺ อันนูรฺ



2. หญิงมีชู้และชายมีชู้ พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนในสองคนนั้นคนละหนึ่งร้อยที (*1*) และอย่าให้ความสงสารยับยั้งการกระทำของพวกเจ้าต่อคนทั้งสองนั้น ในบัญญัติของอัลลอฮฺเป็นอันขาด (*2*) หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และจงให้กลุ่มหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นพยานในการลงโทษเขาทั้งสอง (*3*)

(1) สิ่งที่เราบัญญัติแก่พวกเจ้าคือ ให้โบยพวกทำชู้ (ทำซินา) ที่ยังมิได้แต่งงาน (หรือชายโสด หญิงโสด) คนละหนึ่งร้อยที เป็นการลงโทษแก่เขาทั้งสองที่กระทำอาชญากรรมที่น่ารังเกียจ
(2) คืออย่าให้ความสงสารและความเมตตาระงับการกระทำของพวกเจ้าในบัญญัติของอัลลอฮฺ คือโบยแต่เพียงเบา ๆ หรือลดจำนวนโบย พวกเจ้าจงโบยให้เจ็บจริงๆ
(3) การเป็นพยานในการลงโทษนั้นนับได้ว่าเป็นการประจาน เพื่อให้เป็นแบบฉบับและเป็นที่เข็ดหลาบ สาเหตุของการประทานโองการนี้คือ มีรายงานว่า สตรีผู้หนึ่งชื่อ “อุมมุมะฮ์ซูล" ซึ่งเป็นโสเภณี เธอจะร่วมประเวณีกับผู้ชายโดยตั้งเงื่อนไขว่า เธอจะเป็นผู้จ่ายเงินให้เขา ชายมุสลิมคนหนึ่งประสงค์จะแต่งงานกับเธอ เขาจึงได้ไปแจ้งต่อท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺจึงได้ประทานโองการนี้ลงมาว่า

3. ชายมีชู้จะไม่สมรสกับใคร นอกจากกับหญิงมีชู้หรือหญิงมุชริกะฮ์ และหญิงมีชู้จะไม่มีใครสมรสกับเธอ นอกจากกับชายมีชู้หรือชายมุชริก(*1*) และ (การมีชู้) เช่นนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่บรรดาผู้ศรัทธา

(1) ชายมีชู้และหญิงมีชู้ ไม่เหมาะสมที่จะสมรสกับหญิงบริสุทธิ์ที่มีเกียรติ แต่จะสมรสกับผู้ที่มีสภาพเดียวกันหรือเลวกว่า หรือมุชริกะฮ์หรือมุชริก คือผู้ที่ตั้งภาคีหรือคนกาฟิรนั่นเอง

4. และบรรดาผู้กล่าวโทษบรรดาหญิงบริสุทธิ์(*1*) แล้วพวกเขามิได้นำพยานสี่คนมา(*2*) พวกเจ้าจงโบยพวกเขาแปดสิบที และพวกเจ้าอย่ารับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด(*3*) ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน(*4*)

(1) กล่าวหาว่าเธอมีชู้หรือทำซินา
(2) คือมิได้นำพยานที่ยุติธรรมมาสี่คน เพื่อเป็นพยานต่อข้อกล่าวหาของพวกเขาดังกล่าว
(3) เพราะพวกเขากล่าวเท็จ ใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์ และเข้าไปยุ่งเกี่ยวทำลายเกียรติยศของผู้อื่น นอกจากนั้นพวกเจ้าอย่าได้รับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด ในเมื่อยังคงประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น
(4) อิบนุกะษีรกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงบัญญัติโทษแก่ผู้กล่าวโทษ หากเขามิได้นำหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่เขาได้กล่าวหา มี 3 ประการด้วยกันคือ หนึ่ง: โบยแปดสิบที สอง: ไม่รับการเป็นพยานของเขา สาม: เป็นผู้ฝ่าฝืนปราศจากความยุติธรรม ณ ที่อัลลอฮ์และมหาชน

5. นอกจากบรรดาผู้ลุแก่โทษหลักจากนั้น(*1*) และพวกเขาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น(*2*) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ

(1) คือกลับเนื้อกลับตัวและเสียใจในการกระทำของเขา หลังจากที่ได้ทำบาปอันยิ่งใหญ่
(2) คือไม่กลับไปทำสิ่งชั่วช้าดังกล่าวอีกและต้องแสดงออกซึ่งการกลับเนื้อกลับตัว


“และบรรดาผู้ที่ไม่วิงวอนขอพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺ และพวกเขาไม่ฆ่าชีวิตซึ่งอัลลอฮฺทรงห้าม ไว้เว้นแต่เพื่อความยุติธรรม และพวกเขาไม่ผิดประเวณี และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาจะได้พบกับความ ผิดอันมหันต์ การลงโทษในวันกิยามะฮฺจะถูกเพิ่มขึ้น เป็นสองเท่าสำหรับเขา และเขาจะอยู่ในนั้น อย่างอัปยศ เว้นแต่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวและศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงเปลี่ยนความชั่วของพวกเขาเป็นความดี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

(อัลฟุรกอน : 68 - 70)


" ...
สตรีจะไม่แต่งงานกับสตรี
และสตรีจะไม่แต่งงานด้วยตัวของนางเอง
แท้จริงสตรีที่ทำซินา..คือการที่นางแต่งงานด้วยกับตัวของนางเอง
โดยไม่มีวะลีของนาง "



เล่าจาก อบูมูซา ไม่เป็นการแต่งงานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ปกครอง กีตับอัล-นิกะหฺ สูนัน อบู-ดาวูด หมายเลขหะดิษที่2080


"ไม่ถือว่าเป็นการแต่งงาน นอกจากจะต้องมีวะลี" (อะหฺมัด)

ท่านชัยดินา หะซัน บุตร อาลี กล่าวว่า ท่านปู่ คือท่านรอซูลลุลลอฮฺ ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"เมื่อชายใดหย่าภรรยาของสามตอล๊าก ในช่วงที่ภรรยาปลอดประจำเดือน หรือหย่าสามตอล๊ากในช่วงที่ไม่รู้ว่าปลอดประจำเดือนหรือไม่ ภรรยานั้น ไม่เป็นที่หะล้าลแก่เขาอีก จนกว่านางจะไปแต่งงานกับสามีอื่นเสียก่อน"
หะดิษนี้มีสายรายงานที่ซอเฮี๊ยะห์


จากสาส์นของ อุมัร ถึง อะบีมูซา อัล -อัชอารีย์ว่า
من قال انت طالق ثلاثا فهي ثلاثا. اخرجه ابونعيم
ความว่า " ใครกล่าวแก่ภรรยาว่า เธอตกสามตอล๊าก นั่นคือสามตอล๊าก"
เล่าโดยอาบูนะอีม


อุมัรได้นำออกบังคับใช้กับประชาชนว่าเป็นสามตอลาก และได้กลายเป็นมติของบรรดาอัครสาวก (ร.ฎ)ดังนั้น ผู้ใดที่กล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า : เธอถูกหย่าสามตอลาก . หรือเธอถูกหย่า ,เธอถูกหย่า , เธอถูกหย่า
ก็ถือว่าเป็นการหย่าสามตอลาก และเป็น ทัสนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ และ

บรรดาผู้นำสี่มัซฮับ


และจากหลักฐานที่ยื่นยัน การกล่าวว่า สามตอ๊ากในครั้งงเดียวนั้น คือว่าตกสามล๊ากนั้นคือ หะเกี่ยวกับการลิอาน ที่มีอยู่ ในบันทึกของบุคอรีย์ ว่า
อุวัยมิร อัล-อัจลานีย์ ได้กลาวว่า ฉันหย่านางสามตอล๊ากนั้น โดยที่ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มิทรงห้าม และท่านก็มิได้ปฏิเสธการหย่าทำทองนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ตกสามตอล๊ากในการหย่าครั้งเดียวได้ ท่านอิบนุหัสมินได้กล่าวเสริมว่า หากการหย่าสามตอล๊ากในครั้งเดียวกันไม่ตกสามตอล๊าก ท่านรอซูล ศ้อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม จะต้องห้าม.....และท่านอีหม่ามบุคอรีย์ก็มีความคิดสอดคล้องตามนี้ ดังจะสังเกตได้จากการที่ท่าน บันทึกในซอเฮี๊ยะหฺของท่าน เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะไว้ในบทหนึ่ง
ท่านอิบนุ อัล-ฮิมาน ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตฮุลกดดีรว่า-
บรรดาศอฮาบะหฺ นั้นมีมุจตะฮิตไม่ถึง ยี่สิบคน ส่วนหนึ่งจากมุจตาฮิตนั้น ได้แก่คุลาฟาอฺ ทั้งสี่ท่าน อุบาดะละห์,ซัยดฺ บินซาบิต,มุอ๊าสบืนญะบั้ล,อะนัส,อะบีฮุรอยเราะห์...บรรดาซอฮาบะห์ท่านอืนก็จะต้องมาถามหรือมาขอคำให้ชี้แจงในปัญหาต่างๆจากท่านเล่านี้
เป็นที่ปรากฏชัดว่า การรายงานจากท่านเหล่านี้เกี่ยวกับเรื่องของการหย่าสามตอล๊ากก็ตกสามนั้น เป็นรายงานที่ชัดเจนไม่มีบันทึกรายในเชิงแย้งไปจากทัศนะดังกล่าวนี้เลย ดังนั้นเบื้องหลังความถูกต้อง หรือสัจจะนั่น ก็คงไม่มีอันใดนอกจากความหลง ความผิด หรือความไม่ถูกต้องเท่านั้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น